แก้วชนิดเดียวกัน อาจจะมีชื่อเรียกขานได้หลายชื่อ แต่ด้วยการใช้งานแล้ว เหมือนกันทุกอย่าง เรื่องความจุของแก้วแต่ละชนิด ความสำคัญอยู่พอสมควร แก้วบางชนิด มีรูปทรงเดียวกัน แต่ขนาดต่างกันลิบลับ เช่นแก้ว Hi-ball กับแก้ว Longdrink มีขนาดต่างกันเกือบเท่าตัว 1. แก้วมาร์ตินี่ (Martini glass) ปัจจุบันมีการนำแก้วมาร์ตินี่มาใส่เหล้าค็อกเทล และเหล้าเพียวๆ (Straight up) อย่างแพร่หลายจนยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นแก้วสำหรับยุคสมัยใหม่โดยแท้ ด้วยการออกแบบให้มีก้าน ทรงยาว และมีตัวแก้วไว้ใส่เหล้า ซึ่งค่อนข้างคลาสสิคอีกชนิดหนึ่ง แก้วมาร์ตินี่น่าจะได้มีการเตรียมไว้สองขนาด ก็คือ แบบ Single martini ขนาดความจุ 2-3 ออนซ์ สำหรับใส่เหล้าตัวเดียว และ แบบ Double martini ขนาดความจุ 3-4 ออนซ์ สามารถใส่เหล้าตัวถึง 2-3 ตัว 2. แก้วค็อกเทล (Cocktail glass) เป็นแก้วที่ออกแบบมาไว้ใส่เครื่องดื่มค็อกเทลเป็นหลัก โดยที่ไม่นิยมบรรจุน้ำแข็งลงไป เพรามีความจุเพียง 6-7 ออนซ์ เครื่องผสมหลายๆชนิด หากต้องการเน้นสี และรสชาติที่คงที่จะนิยม ใส่แก้วชนิดนี้ เครื่องดื่มค็อกเทลที่พอรู้จักกันก็เช่น Margarita, Sidecar, Alexander 3. แก้วแชมเปญ ซอสเซอร์ ( Champagne Saucer glass) ปัจจุบันเมื่อมีการจัดงานเลี้ยงหรูๆ จะนิยมนำแก้วแชมเปญ ซอสเซอร์ นี้ มาตั้งวางเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ และเมื่อเทสปาร์คกลิ้ง ไวน์ลงมาบนแก้ยอดใบบนสุด น้ำสีเหลืองทองนั้น ก็จะไหลลงมา เหมือนม่านสีทองอำพัน แต่ไม่นิยมนำไปใส่แชมเปญ เพราะจะทำให้ฟองสวยๆ หายไปโดยเร็ว เครื่องดื่มค้อกเทลที่ใช้แก้วนี้ก็มีอยู่เช่น Gimlet, Vimlet ตระกูล Frozen ทั่วๆไป 4.
ไวน์พอร์ต และ เชอร์รี่ เป็นไวน์เสริมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายหลังอาหารเย็นหรือไวน์ของหวาน พอร์ตทำจากองุ่นที่ปลูกในภูมิภาค Douro ทางตอนเหนือของโปรตุเกสในขณะที่เชอร์รี่ทำจากองุ่นขาวในเมืองในสเปน กราฟเปรียบเทียบ พอร์ตไวน์กับกราฟเปรียบเทียบเชอร์รี่ พอร์ตไวน์ เหล้าเชร์ริ คะแนนปัจจุบันคือ 3. 14 / 5 1 2 3 4 5 (86 คะแนน) คะแนนปัจจุบันคือ 3.
Jay H. Chung หัวหน้าทีมวิจัยและเป็นหัวหน้าของ the Laboratory of Obesityand Aging Research ที่สถาบันหัวใจ ของ NIH กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ resveratrol เพื่อใช้ ในการรักษาโรคได้หลายชนิด ตัวอย่างเช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคความจำเสื่อม และโรคหัวใจ แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีการ ศึกษาถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการนำไปผลิตยา จะต้องทราบว่าอะไรคือเป้าหมายของสารนี้ที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ก่อน มี การศึกษาก่อนหน้านี้ได้กล่าวว่าเป้าหมายหลักของสาร resveratrol ก็คือโปรตีน sirtuin 1 แต่จากผลการวิจัยของ ดร. Chung และคณะ พบว่าการทำงานของสาร resveratrol จะ ต้องทำงานร่วมกับโปรตีนตัวอื่นที่ชื่อว่า AMPK ด้วย ในกรณีนี้แสดง ให้เห็นว่าสาร resveratrol ไม่ได้ทำปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับโปรตีน sirtuin 1
ไวน์ต่างๆ ไวน์(wine) หรือเหล้าองุ่น เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นผลิตผลมาจากการนำเอาองุ่นไปบด หมักและบ่ม เกิดเป็นน้ำองุ่นสีแดง สีชมพู สีขาว ที่มีแอลกอฮอล์เจือปนอยู่ด้วย เราเรียกน้ำองุ่นเหล่านี้ว่าไวน์แดง [red wine] ไวน์สีชมพู [rose' wine หรือ pink wine] และไวน์ขาว [white wine] โดยมีองค์ประกอบหลักเป็น ethyl alcohol น้ำตาล แร่ธาตุ วิตามิน สารเคมีจำพวก polyphenols, aldehydes, ketones และกรดอินทรีย์อีกมากมาย มีการแบ่งแยกไวน์ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆคือ 1. Still wine เป็นไวน์ที่มีผู้นิยมดื่มกันมากที่สุด มีแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้นเองในระหว่างการหมักประมาณ 8-14% vol 2. Fortified wine เป็น Still wine ที่นำมาปรุงแต่งโดยเอาบรั่นดีหรือว้อดก้าผสมลงไปก่อนที่จะทำการบรรจุขวด มีแอลกอฮอล์ประมาณ 18-24% vol fortified wine ที่ปรุงแต่งด้วยเครื่องเทศ สมุนไพร เปลือกไม้ รากไม้ ในระหว่างการผลิตจะเรียกว่า aperitif wine หรือ aromatized wine ใช้เป็นเครื่องดื่มก่อนรับประทานอาหาร ที่รู้จักกันดีคือไวน์ vermouth fortified wine ที่ไม่ปรุงแต่งด้วยเครื่องเทศแต่มีความหวาน ใช้ดื่มกับของหวานและผลไม้ จะเรียกว่า dessert wine เช่นไวน์ Sherry และไวน์ Port 3.
แก้วไวน์แดง (Red Wine glass) ลักษณะของแก้วที่ดีต้องมีความใหญ่เพียงพอที่จะรินไวน์ได้พอประมาณ 2-3 คำ นั่นก็คือ ห้ามเกินครึ่งแก้วเด็ดขาด เมื่อผู้ดื่มต้องการรับรู้กลิ่นหอม อันอบอวลของไวน์อย่างชัดเจน จะต้องมีการกระตุ้นด้วยการแกว่งแก้ว ฉะนั้นแก้วไวน์แดงที่ดีจะต้องออกแบบมาให้กระทำสิ่งเหล่านี้ได้ ความจุประมาณ 8-10 ออนซ์ เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ แก้ว ปัจจัยสำคัญ ที่บาร์เทนเดอร์ไม่ควรมองข้าม (ตอนที่ 2)
แก้วทิวลิป แชมเปญ ( Tulip Champagne glass) จุดประสงค์หลักก็คือแก้วสำหรับใส่แชมเปญ เพราะต้องการอวดพรายฟองสวยๆ และต้องการเก็บก๊าซในแชมเปญให้นานขึ้น ความจุของแก้วจะประมาณ 6-7 ออนซ์ หากมีการนำไปใส่เครื่องดื่มค็อกเทลก็มักจะเป็นเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมด้วยสปาร์กกลิ้งไวน์ อยู่ด้วย เช่น Kir Royal 5. แก้วบรั่นดี ( Brandy / Snifter / Balloon glass) นิยมใช้ใส่บรั่นดีหรือเหล้าตัวเดียวเพียวๆ ที่เน้นด้วยกลิ่นหอม แก้วบรั่นดีนี้ ถูกออกแบบมาให้ถือด้วยฝ่ามือ เพราะต้องการให้มีการถ่าย อุณหภูมิความรัอนจากตัวเราไปสู่แก้ว เมื่อน้ำเหล้าในแก้วอุ่นขึ้น ก็จะส่งกลิ่นหอมพวยพุ่งออกมา เครื่องดื่มค็อกเทลที่ใช้แก้วนี้ก็เช่น B&B Straight-up, Cognac Straight-up, Rusty nail Straight-up 6. แก้วลิเคียว / คอร์เดียล ( Liqueur / Cordial glass) แก้วชนิดนี้มีความจุ 1 1/2 – 2 ออนซ์เท่านั้น การใส่เหล้าจึงมีที่ว่างสำหรับ 1-2 ตัวเท่านั้น ส่วนมาก จะเป็นเหล้าลิเคียว เพื่อไว้สำหรับดื่มหลัง หรือก่อนอาหาร แต่ก็มีค็อกเทลบางตัวที่ต้องใส่แก้วลิเคียวนี้ นั่นก็คือ Rainbow, B-52 และการดื่มแบบ Straight-up ทั่วๆไป 7. แก้วซาวร์ ( Sour glass) เป็นแก้วที่มีความจุ ประมาณ 4-5 ออนซ์ รูปทรงจะคล้ายกับลิเคียวแต่มีขนาดใหญ่กว่า มีไว้สำหรับการใส่เหล้าพอร์ต และเครื่องดื่มผสมไม่กี่ชนิด เช่น Whisky Sour หรือตระกูลซาวร์ต่างๆ 8.