Click to rate this post! [Total: 2308 Average: 5] เงินมัดจำ เงินมัดจำ เงินมัดจำ (อังกฤษ: earnest) คือ เงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นอันมีค่าในตัวซึ่งให้ไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าได้มีการทำสัญญากันขึ้นแล้ว และเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญานั้น เงินค่ามัดจำ คืออะไร ในทางบัญชี เงิน ค่า มัดจำ คือเกิดจาก การจ่ายเงิน หรือ รับเงิน แต่ยังไม่ได้ให้บริการ หรือส่งสินค้า ให้ได้ครบเต็มจำนวนมูลค่าของสินค้านั้น หรือบางครั้ง จ่ายเงินเต็มจำนวนของมูลค่าหรือสินค้าของบริการนั้นแล้วก็จริง แต่!! สินค้า หรือบริการยังให้ไม่ครบเต็มจำนวน ก็อาจใช้ชื่อบัญชีว่า เงินมัดจำ ในหลักการทางบัญชี ถือเป็น หนี้สิน ( รายได้รับล่วงหน้า) ของกิจการ หรือค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้าของกิจการ ขึ้นอยู่กับว่า ได้ได้รับมา หรือ จ่ายออกไป ในทางกฎหมาย คำว่า "มัดจำ" ป. พ. มาตรา 377 บัญญัติว่า เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว ตัวอย่างมัดจำ ตัวอย่างเงินมัดจำ ตัวอย่างมัดจำในทางบัญชี เช่น บริษัท A จำกัด ขายสินค้าให้กับ บริษัท b จำกัด ราคา 10, 000 บาท บริษัท B จ่ายชำระ 2000 บาท ให้กับ บริษัท A ยกตัวอย่างกรณีที่ อาจเป็นการสั่งผลิตหรือของหมด บริษัท B ต้องการสินค้านี้ บริษัทเอง จึงได้ขอให้จ่ายเงินจองสินค้านี้ก่อน จึงเกิดชื่อบัญชี เงินมัดจำ (ในทางบัญชีถือเป็นรายได้รับล่วงหน้า) จำนวน 2, 000 บาท บึนทึกบัญชี ดังนี้ บริษัท A จำกัด Dr. เงินสด 2, 000.
34 บาท ดอกเบี้ย 2, 233. 03 บาท แล้วไม่ได้ชำระหนี้อีกโจทก์มีหนังสือทวงถามให้นางรัตนา จำเลยที่ 3 และที่ 4 ชำระหนี้ตามสัญญาต่อมาเดือนพฤษภาคม 2541 โจทก์ทราบว่านางรัตนาถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 2 กันยายน2532 จำเลยที่ 1 เป็นสามีและผู้ปกครองทรัพย์มรดกและจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนางรัตนา โจทก์คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 20, 840. 16 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 31, 056. 50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25 ต่อปี ของต้นเงิน10, 216.
หลักฐานการกู้ยืมเงิน < แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1. กรณีจำนวนเงินที่กู้ยืมกัน ไม่เกิน 2, 000 บาท กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องทำหลักฐานการกู้ยืมต่อกัน ดังนั้น แม้ตกลงยืมเงินกันด้วยวาจา เมื่อเกิดการผิดข้อตกลงหรือผิดสัญญาก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามกฎหมาย 2. กรณีจำนวนเงินที่กู้ยืมกัน เกิน 2, 000 บาทขึ้นไป กฎหมายกำหนดให้การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน มิเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีต่อกันไม่ได้ หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้นจะอยู่ในรูปแบบใดก็ได้ แต่ต้องเป็นลายลักษณ์อักษร มีข้อความชัดแจ้งว่ามีการกู้ยืมเงินกันไปเป็นจำนวนเท่าใดและตกลงจะใช้คืนเมื่อใด และที่สำคัญคือต้องมีลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเป็นสำคัญด้วย ดังนั้น เนื้อความในเอกสารหลักฐานการกู้ยืมเงิน ต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1. วันที่ที่ทำสัญญากู้เงิน 2. ชื่อ ผู้ขอกู้เงินและผู้ให้กู้เงิน 3. จำนวนเงินที่กู้ 4. กำหนดชำระ (จะมีหรือไม่มีก็ได้) 5. ดอกเบี้ย (ไม่เกิน 15% ต่อปี) เเต่ถ้าไม่ได้กำหนดเอาไว้กฎหมายเเพ่งเเละพาณิชย์ มาตรา 7 ได้ใช้ในอัตราร้อยละ 7. 5 ต่อปี 6. ผู้กู้ยืมต้องลงลายมือชื่อ (กรณีลงลายพิมพ์นิ้วมือจะต้องมีพยานรับรองลายนิ้วมือ 2 คน) > 3.
Online Credit Term ช้อปสินค้าเพื่อธุรกิจ เปิดร้านใหม่ หรือเติมสต็อก OfficeMate มีให้ครบ พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ! ขอบคุณข้อมูลจาก
ข้อแนะนำและข้อควรระวังเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน < 1. ห้ามลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าเด็ดขาด 2. ก่อนลงลายมือชื่อในสัญญากู้ ต้องตรวจสอบจำนวนเงินที่ระบุในสัญญาให้ถูกต้องและครบถ้วนตามจำนวนเงินที่ได้รับไป และในสัญญาต้องเขียนจำนวนเงินเป็นตัวหนังสือกำกับไว้ด้วยเสมอ เช่น กู้ยืมเงินไปจำนวน 30, 000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) 3. อย่านำโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับการทำประโยชน์ในที่ดิน(น. ส. 3)ไปให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันการกู้ยืมเงิน 4. สัญญาต้องทำอย่างน้อย 2 ฉบับ โดยให้ผู้กู้ยืมถือไว้ด้วย 1 ฉบับ 5. ควรมีพยานฝ่ายผู้กู้ยืมลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาด้วยอย่างน้อย 1 คน 6. การชำระหนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ต้องขอรับใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับเงินซึ่งมีลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมลงกำกับด้วยทุกครั้ง (เพื่อไว้เป็นหลักฐานยืนยันว่าได้ชำระหนี้แล้ว) 7.
มีข้อความว่า ใครเป็นผู้กู้ 2. และได้กู้จากใคร 3. และจะสัญญาว่าจะคืนให้เมื่อไหร่ 4. ถ้ามีดอกเบี้ยก็ใส่ไปด้วย สุดท้ายสำคัญมาก 5. ต้องให้ผู้กู้ลงชื่อ ถ้าเขาเบี้ยวเราก็ฟ้องได้ หากมีครบ 5 ข้อนี้ แม้กฎหมายจะไม่ได้บังคับเป๊ะ ๆ แต่หากเขียนไว้ กันไว้ดีกว่าแก้ เมื่อมีปัญหาจึงจะครอบคลุมได้ครบหมด ฟ้องได้แน่นอน ในกรณีที่ให้ยืมไปแล้ว แต่ไม่ได้ทำสัญญาไว้ก็สามารถทำสัญญาย้อนหลังได้ โดยทำเป็นสัญญาขึ้นมาใหม่ หรือทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ก็ได้ทั้งนั้น เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่าหลักฐานในการกู้ยืมดังกล่าวจะต้องทำขึ้นในขณะที่มีการกู้ยืม ดังนั้นหากจะทำหลังจากที่ให้เงินยืมไปแล้วก็ไม่เป็นไร หรือหากเป็นกรณีที่ลงชื่อผิด คือ ผู้กู้ลงชื่อในช่องของผู้ให้กู้ล่ะ จะเป็นอะไรไหม?
ดอกเบี้ยกู้ยืมเงิน < ในการกู้ยืมเงินกฎหมายให้คิดดอกเบี้ยกันได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกัน กฎหมายได้กำหนดจำกัดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินไว้คือ ให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี (คืออัตราร้อยละ 1. 25 ต่อเดือน) ยกเว้นกรณีเป็นสถาบันการเงินหรือธนาคาร กฎหมายให้อำนาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีได้ แต่ต้องเป็นไปตามประกาศข้อกำหนดของธนาคารซึ่งมีกฎหมายรองรับ(พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน) กรณีกำหนดดอกเบี้ยไว้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มีผลคือ 1. เป็นความผิดอาญาฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 1, 000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ. ศ. 2475 2. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมนั้นตกเป็นโมฆะทั้งหมด ฟ้องบังคับไม่ได้เลย (แต่เงินต้นยังคงสมบูรณ์) 3. ดอกเบี้ยที่ผู้กู้ยืมชำระไปแล้ว เรียกคืนไม่ได้ (ถือว่าชำระหนี้ตามอำเภอใจ) แม้ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจะตกเป็นโมฆะ แต่สำหรับดอกเบี้ยผิดนัด ผู้ให้กู้ยืมก็ยังคงบังคับได้ > 4. อายุความฟ้องคดีกู้ยืมเงิน < การฟ้องร้องเรียกเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน มีอายุความ 10 ปีนับแต่วันถึงกำหนดชำระเงินกู้ยืมคืน แต่หากสัญญากู้ยืมตกลงกันกำหนดชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นงวดๆ เช่น รวมทั้งหมด 5 งวด จะเป็นกรณีที่คู่สัญญาได้ตกลงชำระหนี้เพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ ซึ่งจะมีอายุความเพียง 5 ปี > 5.
ผู้กู้ชำระหนี้แก่โจทก์ได้ภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2523เมื่อ ร. นำเงินบางส่วนมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในวันที่ 1 มิถุนายน 2531 เป็นการรับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14(1) และต้องเริ่มต้นนับอายุความใหม่ในวันถัดจากวันที่ได้มีการชำระหนี้คือ วันที่ 2 มิถุนายน 2531และจะครบกำหนดอายุความ 10 ปี ในวันที่ 1 มิถุนายน 2541 ตามมาตรา 193/3 วรรคสอง มาตรา 193/5 วรรคสอง และมาตรา 193/15 วรรคสอง ร. ถึงแก่ความตายวันที่ 2 กันยายน 2532 โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จะต้องฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทายาทภายใน 1 ปี นับแต่โจทก์ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของ ร. ทั้งนี้มิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้น 10 ปี นับแต่ ร. ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม และวรรคท้าย กรณีมิใช่อายุความมีกำหนด 1 ปี นับแต่วันถึงแก่ความตายของ ร. ตามมาตรา 193/23 เพราะการที่จะอยู่ภายใต้บังคับอายุความในมาตราดังกล่าว ต้องเป็นกรณีที่อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ก่อนที่ ร. ถึงแก่ความตายจะครบกำหนดภายใน 1 ปี นับแต่ ร. ถึงแก่ความตายเท่านั้น แต่อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ก่อนที่ ร. จะถึงแก่ความตายจะครบกำหนดในวันที่ 1 มิถุนายน 2541 อันเป็นระยะเวลาเกิน 1 ปี ภายหลังจากที่ ร.
คำตอบคือได้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2563 เป็นไปตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ. ศ.
- Cr. เงินมัดจำ (รายได้รับล่วงหน้า). 2, 000. - บริษัท B จำกัด Dr. เงินมัดจำ (รายจ่ายจ่ายล่วงหน้า) 2, 000.