สวัสดีค่ะคุณ มิสเตอร์. ฟรีดอม อาร์ต คนของสังคม การกินยาเกินขนาดอาจมีผลต่อตับเนื่องจากจะเกิดสารที่ก่อพิษต่อตับขึ้นมาจำนวนมาก ทำให้ตับกำจัดออกไม่ทัน ดังนั้นยาพาราเซตามอลควรกินวันนึงไม่เกิน 4000 mg และไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 5 วัน เพราะจะทำให้ปริมาณยาคั่งในร่างกายมากจนเป็นพิษต่อตับ หากเว้นการรับประทานยาไว้ 12 ชั่วโมง ยาอาจจะยังขับออกจากร่างกายได้ไม่หมด หากกินต่อก็ควรจะนับต่อไปด้วยค่ะ หากใช้ยาติดต่อกัน 5 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของการมีไข้หรือการปวดค่ะ
ยาลดความอ้วนกับยาไทรอยด์หรือขับปัสสาวะ ยาลดความอ้วนที่ถูกหลักการทางการแพทย์จะต้องปรับไปตามกายภาพของผู้ใช้ ปัญหาในข้อนี้เกิดจากในบางครั้งมีการเอายาไทรอยด์หรือขับปัสสาวะมาใช้ลดความอ้วน หรือในอาหารเสริมลดความอ้วนที่ผสมไซบูทรามีนซึ่งห้ามใช้ในคนที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษหรือใช้ยาขับปัสสาวะ ดังนั้นที่เป็นอันตรายกับยาไทรอยด์หรือยาขับปัสสาวะคือตัวยา ไซบูทรามีน ซึ่งไม่ใช่ยาลดความอ้วนทุกแบบจะมีตัวยานี้ผสมอยู่ ดังนั้นสาวๆต้องดูให้ดีนะคะ 7. ยาฆ่าเชื้อกับส้มโอ ส้มโอ เป็นผลไม้ตระกูลส้ม ที่มีสารในกลุ่ม Furanocoumarin สารตัวนี้ไปยุ่งกับเอนไซม์ในตับที่คอยทำงานด้านปรับเปลี่ยนโครงสร้างสารที่กินเข้าไป การกินน้ำส้มโอมากๆ หรือกินส้มโอเยอะๆ จะทำให้ยาออกฤทธิ์เพี้ยนไป ยังไงสาวๆก็อย่ากินยากับส้มโอ หรือพวกส้มเลยดีกว่าง่ายดี 8. ยาพาราเซตามอลกับสมุนไพร เป็นความจริงที่ยาพาราเซตามอลมีผลต่อตับหากกินในจำนวนที่มาก และยาสมุนไพรบางชนิดมีผลต่อตับหากกินติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความรวมถึงสมุนไพรทุกชนิดนะคะ ดังนั้นสาวๆก็ควร ซื้อยาสมุนไพรจากผู้ขายที่เชื่อถือได้ ส่วนพาราอย่ากินเกินวันละ 8 เม็ด 9. ยาบำรุงเลือดกับธาตุเหล็ก ระดับธาตุเหล็กที่กินคู่กันมันไม่ได้อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต แต่สาวๆต้องกินยาบำรุงเลือดตามหลักทางการแพทย์นะคะ ยาที่เราพูดถึงกันในวันนี้ส่วนมากเป็นยาที่หาซื้อกินเองไม่ค่อยได้ แต่ยังไงรู้ไว้ก็ใช่ว่าใช่ไหมคะ เรียบเรียงโดย The Canary Bird ที่มา facebook
แนะอ่านฉลากและคำนวณปริมาณยาพาราฯ ให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวก่อนกิน ป้องกัน "พิษต่อตับ" หลังพบผู้ป่วยจากการได้รับยาเกินขนาด เมื่อเอ่ยถึงยาสามัญประจำบ้านที่ทุกเพศทุกวัย นึกถึงและเลือกหยิบขึ้นมาใช้บรรเทาอาการปวดลดไข้เป็นอันดับแรก คงหนีไม่พ้น "พาราเซตามอล" (paracetamol) ยาเม็ดที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป นอกจากราคาไม่แพงและรักษาอาการได้ผลดีแล้ว ที่สำคัญวิธีการกินก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอีกด้วย! หลายคนคิดเช่นนั้นเพราะตั้งแต่เด็กๆ คุ้นชินกับข้อปฏิบัติที่บอกต่อจากผู้ใหญ่ว่า เมื่อรู้สึกปวดเมื่อยและมีไข้ให้กินพาราเซตามอล เด็กครั้งละ 1 เม็ด ผู้ใหญ่ครั้งละ 2 เม็ด ทุกๆ 4-6 ชม. แต่เอาเข้าจริงการกินยาสามัญชนิดนี้ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นยาที่มีความปลอดภัยมาก ก็มีผลเสียต่อร่างกายเช่นกันหากได้รับปริมาณยามากเกินขนาด สะสมเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะพิษต่อ "ตับ" ตับ ถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากสำหรับร่างกายคนเรา เพราะเป็นแหล่งสร้างอาหาร ซ่อมแซมร่างกาย ทำลายสารพิษ ซึ่ง รศ. พญ. วัฒนา สุขีไพศาลเจริญ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประธานมูลนิธิรักษ์ตับ และประธานสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย ย้ำว่า "หากเป็นตับอักเสบ การทำงานของร่างกายบกพร่อง มีการซ่อมแซมผิดพลาด ท้ายที่สุดอาจป่วยเป็นมะเร็งได้" ที่ผ่านมาวงการแพทย์และสาธารณสุขทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ต่างพยายามหยิบยกแนวทางแก้ปัญหา เพื่อป้องกันและลดปริมาณการกินพาราเซตามอลมากเกินขนาดแนะนำ ในต่างประเทศมีรายงานจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (U. S. Food and Drug Administration; USFDA) พบอุบัติการณ์การเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน ระหว่างช่วงปี ค.
หากกินแล้วเกิดอาการ บวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด เป็นลม แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ผื่นแดง ตุ่มพอง หรือ ผิวหนังหลุดลอก อาจเป็นอาการแพ้ยา แนะนำให้หยุดยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที 2. หากจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องแล้วเกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้มขึ้น ซึ่งเป็น อาการแสดงเมื่อได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด แนะนำให้หยุดยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับยาพาราเซตามอล ในผู้ป่วยบางราย อาจมีความเข้าใจผิด กินยาพาราเซตามอลทั้งที่ไม่มีอาการผิดปกติ เช่น กินยาดักไว้ก่อน เพื่อป้องกันอาการไข้ ถือเป็นการใช้ยาที่ไม่สมเหตุผล และไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษา ทั้งยังอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากยาได้ ดังนั้นหากยังไม่มีอาการไข้ ไม่จำเป็นต้องกินยาดักไว้ก่อน วิธีเก็บยาที่ถูกต้องเพื่อให้คงประสิทธิภาพในการรักษา 1. ควรเก็บยาไว้ในภาชนะเดิม แผงเดิม ที่ปิดสนิท 2. เก็บยาให้พ้นความชื้น แสงแดด และความร้อน (ควรเก็บในที่มีอุณหภูมิห้องไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส) เพราะจะทำให้ยาเสื่อมสภาพ 3. ควรเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง แหล่งที่มา: - ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาสามัญประจำบ้านแผนปัจจุบัน (ฉบับที่ 7) พ.
วิชัยเวชฯ หนองแขม 02-441-6999 หรือ ติดต่อได้ผ่านช่องทางไลน์ได้ง่ายๆ Line หรือ สามารถตรวจเช็ค ตารางแพทย์ออกตรวจ เพื่อขอเข้ารับคำปรึกษา
" เพื่อสุขภาพ" ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡ ยาพาราห้ามกินเกิน กี่เม็ด?!
ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!
ศ. 1998-2003 สาเหตุเกิดจากพาราเซตามอล ร้อยละ 48 ขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทย รายงานจากศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี ชี้ว่า "ในปี 2558 มีรายงานพิษจากพาราเซตามอล รวม 960 ราย" สาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับพาราเซตามอลเกินขนาด ปัจจัยสำคัญไม่เพียงเกิดจากการใช้ยาซ้ำซ้อน จากยาชนิดอื่นที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ แต่ยังรวมถึงการใช้ยาเกินขนาดโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายปี 2559 ที่ผ่านมา ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย. ) ได้ออกมาย้ำเตือนผลเสียต่อร่างกายอีกครั้ง พร้อมระบุว่าในผู้ใหญ่ห้ามกินเกิน 4, 000 มก. /วัน ใช้ติดต่อกันไม่เกินเวลาที่กำหนด แบ่งเป็นการกินเพื่อแก้ปวด 5 วัน ลดไข้ 3 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ ปัจจุบันพาราเซตามอลชนิดเม็ดที่วางขายในท้องตลาด มีหลายขนาดไม่ว่าจะเป็นชนิดตัวยา 325, 500, 650 มก. หากต้องการกินให้ปลอดภัยจริงๆ ต้องนำเอาน้ำหนักตัวเข้ามาคำนวณด้วย เรียกง่ายๆ ว่ากินตามน้ำหนักตัว โดยขนาดยาที่เหมาะสมอยู่ที่ 10 - 15 มก. /น้ำหนักตัว 1 กก. ยกตัวอย่างหาก น้ำหนัก 50 กก. ควรใช้ยาไม่เกิน 750 มก. /ครั้ง พาราเซตามอลที่หาซื้อได้ง่ายที่สุดในบ้านเราคือ 500 มก. หากกินครั้งละ 2 เม็ด เท่ากับว่าได้รับปริมาณยา 1, 000 มก.
เกวลิน ตั้งจิตบรรเจิด ผู้เขียน บทความที่เกี่ยวข้อง ยาพาราเซตามอล 650 mg ต่างจากแบบ 500 mg อย่างไร ยาพาราเซตามอล ยิ่งทานเยอะยิ่งหายปวด จริงไหม? ปรึกษาเภสัชกร Fascino ฟรี Facebook: Line: โทร: 02-111-6999 (ตั้งแต่เวลา 8. 00 - 18. 00 น. ทุกวัน)
เคยได้ยินได้เห็นกันบ่อยที่ว่ากันว่ากินยาตัวนั้นพร้อมกับอาหารนั้นจะเป็นอันตราย แล้วสาวๆเคยนึกเอะใจสงสัยกันบ้างไหมว่ามันอันตรายจริงหรือเปล่า ยาบางชนิดกินพร้อมกันได้ไหม เรามาฟังคำตอบของหมอกันค่ะ 1. ยานอนหลับกับยาแก้แพ้ มีฤทธิ์กดประสาททั้งคู่ แต่ฤทธิ์ยาไม่แรงมาก แต่จะอันตรายกับผู้ใช้ยาที่เป็นโรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง หรือOSA หรือกินเหล้า ดังนั้น ข้อนี้ไม่ถึงกับจริงนะคะ 2. ยาละลายลิ่มเลือดกับน้ำมันปลา ในทางทฤษฎี 2 ตัวนี้พอกินพร้อมกันจะเพิ่ม "ตัวเลข" ค่าความไม่แข็งตัวของเลือดเล็กน้อย แต่ไม่มีผลทำให้เลือดออกมากขึ้นหรือบาดเจ็บมากขึ้น จึงไม่มีโอกาสเสียชีวิต สรุป ข้อนี้ไม่จริง 3. ยารักษาสิวกับวิตามิน A ยารักษาสิวมีหลายชนิดหลายแบบ และแต่ละแบบก็ไม่เป็นอันตรายต่อกันได้เลย มีแต่ทำให้เกิดผลข้างเคียงมากกว่าปกติ เช่น อนุพันธุ์ของวิตามินเอ RetinA ซึ่งไม่ส่งผลอันตรายถึงขั้นป่วยหรือเสียชีวิต 4. ยาลดความดันกับยาขยายหลอดลม ยาลดความดันกับยาขยายหลอดลมส่วนใหญ่กินคู่กันได้ แต่ คนเป็นโรคหอบหืดบางคนอาจจะกินยาความดันบางตัวไม่ได้ เช่นยาความดันในกลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ 5. ยาขับปัสสาวะกับกาแฟ กาแฟมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ แต่ว่าการกินคู่กันก็ไม่ทำให้ตายได้ 6.