ย. 2561 - จำนวนผู้เข้าชม 4279 View ชั้น 5 อาคาร 3 กองบริหารการสาธารณสุข ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ถนนติวานนท์ อ. เมือง จ. นนทบุรี 11000 © 2019 ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุข All Rights Reserved.
58/4. 34) = 1, 580 บาท 2) กรณีเปรียบเทียบกับ ปากกายี่ห้อ C ของคู่แข่งขันรายที่ 2 ซึ่งมีราคาเท่ากับ 1, 900 บาท ราคาสินค้าที่เหมาะสมสำหรับ ปากกายี่ห้อ A ของกิจการ เท่ากับ 1, 900 x (4. 59) = 1, 895 บาท ดังนั้น กิจการควรกำหนดราคาสินค้ายี่ห้อ A ไม่ต่ำกว่า 1, 580 บาท และไม่สูงกว่า 1, 895 บาท 4. วิธีการกำหนดราคาจากคุณค่าในการใช้งาน (Value – in – Use Pricing) เป็นการกำหนดราคาโดยมีผลิตภัณฑ์อ้างอิงที่ใช้เปรียบเทียบคุณค่าการใช้งาน เพื่อนำไปสู่การกำหนดระดับราคาที่เหมาะสม มีขั้นตอนสำคัญ ดังนี้ 1) เลือกผลิตภัณฑ์อ้างอิง 1 รายการ ซึ่งอาจเป็นสินค้าของคู่แข่งขันหลัก หรือสินค้าของกิจการ ที่ต้องการใช้เป็นฐานการอ้างอิง เพื่อให้ผู้บริโภคใช้ประเมินคุณค่าเพื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการกำหนดราคา ตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า ได้กำหนดราคาเริ่มต้นของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รุ่น VIOS 1. 5J M/T noABS ที่ 520, 000 บาท (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม ปี 2555) เพื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์อ้างอิงสำหรับการกำหนดราคารถยนต์นั่งส่วนบุคคล VIOS ในรุ่นที่มีออพชั่นเพิ่มมากขึ้น 2) ประเมินมูลค่าราคาของแต่ละองค์ประกอบหรือคุณสมบัติสำคัญที่จะนำเสนอให้เพิ่มเติมจากที่ผลิตภัณฑ์อ้างอิงมีอยู่ เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ว่า หากมีการใช้ผลิตภัณฑ์ของกิจการแทนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่นำมาอ้างอิง จะมีมูลค่าส่วนเพิ่มขึ้นคิดเป็นจำนวนเงินเท่าไร ตัวอย่างเช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล โตโยต้า รุ่น VIOS 1.
ตารางบอลวันนี้ ตารางบอลพรุ่งนี้ ผลบอลสด ผลบอลสด สำรอง 1 ผลบอลสด สำรอง 2 ผลบอลสด สำรอง 3 ผลบอลสด สำรอง 4 ผลบอลสด สำรอง 5 ตารางการแข่งขัน ผลการแข่งขัน 7mผลบอล ตารางการแข่งขัน ผลการแข่งขัน อัตราต่อรอง ผลบาสสด วิเคราะห์บอลคืนนี้ รวมมิตรทีเด็ด ตารางคะแนน อันดับฟีฟ่า อันดับฟีฟ่าชาย อันดับฟีฟ่าหญิง คลิปไฮไลท์ ดูบอลออนไลน์ ผลบอลย้อนหลัง ( VS) รายละเอียดเหตุการณ์ในการแข่ง เวลาเริ่มแข่ง: GMT แก้ไขล่าสุด: GMT+0800
บทความโดย วิชาญ กุลาตี นักวิเคราะห์ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) | EIC Online:
เกิดจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เนื่องจากระดับราคาวัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นปัจจัยการผลิตมีราคาสูงขึ้น หรืออัตราค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เป็นเหตุให้ราคาสินค้าสูงตามไปด้วย ผลกระทบของเงินเฟ้อ เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ราคาสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายในสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นเพราะกลัวราคาสินค้าจะแพงขึ้นอีก ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนสินค้า ทำให้ราคาสินค้ายิ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ภาวะเงินเฟ้อจะเกิดผลดีหรือผลเสียต่อบุคคลแต่ละกลุ่ม ดังนี้ 1. ผลดีต่อพ่อค้า นักธุรกิจ เพราะขายสินค้าหรือบริการได้ราคาสูงขึ้น และส่งผลดีต่อลูกหนี้ เพราะเงินที่เป็นหนี้มีอำนาจซื้อลดลง ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น จำนวนเงินเท่าเดิมซื้อของได้น้อยลง เท่ากับลูกหนี้ใช้หนี้น้อยลง แม้นว่าจำนวนเงินที่ชำระจะยังคงเท่าเดิม นอกจากนี้ภาวะเงินเฟ้อจะเกิดผลดีต่อกลุ่มบุคคลที่มีรายได้จากการเปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจ เพราะสามารถเรียกค่าบริการ หรือตั้งราคาสินค้าได้ตามต้องการ เช่น แพทย์ ช่างตัดผม ช่างตัดเสื้อ เป็นต้น 2. ผลเสียต่อผู้มีรายได้ประจำ เพราะรายได้เท่าเดิม แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้นด้วย เจ้าหนี้และผู้มีเงินออมจะเสียเปรียบ เพราะมูลค่าของเงินลดลง เช่น สมชายมีเงินฝากอยู่ในธนาคาร หนึ่งแสนบาท ในภาวะเงินเฟ้อ เงินหนึ่งแสนที่สมชายมีอยู่ จะมีค่าของเงินลดลงเพราะเงินเท่าเดิม แต่จะซื้อสินค้าได้น้อยลง หรือถ้าต้องการสินค้าเท่าเดิม ต้องจ่ายเป็นเงินเพิ่มขึ้น เป็นต้น แนวทางแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อ เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ ระดับราคาสินค้าสูงขึ้นจะทำให้ประชาชนโดยทั่วไปเดือดร้อน ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงกำหนดแนวทางแก้ไข ดังนี้ 1.
ดร.
วิธีการประเมินราคาโดยตรง ( Direct Price-Rating Method) ถามผู้ซื้อโดยตรงว่าราคาสินค้าของกิจการควรเป็นเท่าใด 2.
01 บาท คำอธิบาย: วิธีคิด อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี หักภาษีดอกเบี้ย 15% ให้ดอกเบี้ยรับ 2 บาท ต้องเสียภาษี t บาท เขียนสัดส่วนได้ ดังนี้ t 2 = 15 100 t = 15 × 2 100 t = 0. 3 ดังนั้น จะได้รับดอกเบี้ยหลังหักภาษีเป็น 2 - 0. 3 = 1. 7% ต่อปี ให้ดอกเบี้ยหลังหักภาษีสิ้นปีที่ 1 = x บาท จะได้ x 3, 500 = 1. 7 100 x = 1. 7 × 3, 500 100 ดังนั้น จะได้ดอกเบี้ยสิ้นปีที่ 1 = 59. 5 บาท ธนาคารคิดดอกเบี้ยทบต้นให้ ดังนั้น สิ้นปีที่ 1 เงินต้นจะเป็น 3, 500 + 59. 5 = 3, 559. 5 บาท ให้ดอกเบี้ยหลังหักภาษีสิ้นปีที่ 2 = y บาท จะได้ y 3, 559. 5 = 1. 7 100 y = 1. 7 × 3, 559. 5 100 ดังนั้น จะได้ดอกเบี้ยสิ้นปีที่ 2 = 60. 51 บาท ดังนั้น ฝากครบ 2 ปี สมหมายได้ดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ 59. 5 + 60. 51 = 120. 01 บาท คำตอบที่ถูกต้องคือ: ประมาณ 8, 153. 97 บาท คำอธิบาย: วิธีคิด ให้ดอกเบี้ยของเงินฝาก 6 เดือนแรก = x บาท ได้ดอกเบี้ยร้อยละ 1. 5 ต่อปี = 1. 5 × 6 12 = 0. 75% ต่อ 6 เดือน เขียนสัดส่วนได้ดังนี้ x 8, 000 = 0. 75 100 x = 0. 75 × 8, 000 100 ดังนั้น ดอกเบี้ย 6 เดือนแรก = 60 บาท แต่ดอกเบี้ยถูกหักภาษี 15% = 60 × 15 100 = 9 บาท จะได้ ดอกเบี้ยรับจริง = 60 - 9 = 51 บาท ธนาคารคิดดอกเบี้ยทบต้นให้ ดังนั้น เงินต้นใน 6 เดือนถัดไป = 8, 000 + 51 = 8, 051 บาท ให้ดอกเบี้ย 6 เดือนที่สอง = y บาท จะได้ y 8, 051 = 0.
เกิดจากรัฐบาลเก็บภาษีมากเกินไป ทำให้ปริมาณเงินที่ประชาชนจะซื้อสินค้ามีน้อยลง 3. ประชาชนเก็บเงินไว้กับตัวมากเกินไป ทำให้การบริโภคมวลรวมลดลง 4. มีการส่งเงินตราออกไปต่างประเทศมากเกินไป ทำให้ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศมีน้อย ผลกระทบของเงินฝืด เงินฝืดทำให้ผู้ผลิตขาดทุน การค้าซบเซา การผลิตเลิกกิจการ ลูกจ้างแรงงานตกงาน เกิดปัญหาว่างงาน เศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีจากผู้มีรายได้และผู้ผลิตได้ตามเป้าหมาย ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องแบกภาระในการแก้ปัญหาคนว่างงานและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างไรก็ดี ภาวะเงินฝืดจะเป็นผลดีและผลเสียต่อบุคคลในกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ 1. ผลดีต่อผู้มีรายได้ประจำ เพราะซื้อสินค้าหรือบริการได้ในราคาลดลง ส่วนเจ้าหนี้และผู้มีเงินออมจะได้เปรียบ เนื่องจากราคาสินค้าลดลง ค่าของเงินเพิ่มขึ้น ทำให้อำนาจซื้อเพิ่มขึ้น 2. ผลเสียต่อผู้ผลิต จะได้รับผลกระทบ เพราะราคาสินค้าลดลง อาจต้องประสบปัญหาขาดทุน นอกจากนี้ ลูกหนี้ และนายธนาคาร จะเกิดความเสียเปรียบในด้านค่าของเงิน แนวทางแก้ไขภาวะเงินฝืด เมื่อเกิดภาวะเงินฝืด การผลิตลดลง เกิดปัญหาว่างงาน เศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงกำหนดแนวทางแก้ไข ดังนี้ 1.